วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

5 เทคนิคเด็ดๆ สำหรับการเลือกช่างภาพงานแต่งงาน


5  เทคนิคเด็ดๆ สำหรับการเลือกช่างภาพงานแต่งงาน by ลุงพร้อม

ลุงเชื่อว่าการถ่ายภาพงานแต่งคงเป็นสิ่งที่บ่าวสาวทุกท่านนึกถึงเป็นอย่างแรกๆในการจัดงานแต่ง แต่สำหรับบ่าวสาวมือใหม่การเลือกช่างภาพที่ถ่ายรูปได้ถูกใจซักทีมนั้นคงไม่ง่ายเลย วันนี้ลุงมี เทคนิคมาให้บ่าวสาวไว้สำหรับเลือกช่างภาพมาเพื่อมาเก็บภาพในวันสำคัญของ ทุกท่านครับ

เทคนิคที่ 1  ผลงานการถ่ายรูป :  เพราะเดียวนี้การค้นหาช่างภาพซักทีมไม่ใช่เลือกยากอะไรเพราะในอินเตอร์เน็ท หรือตาม facebook IG ก็มีให้เลือกมากมายแต่วิธีการเลือกนั้น ลุงแนะนำอย่างนี้ครับ
- บ่าวสาวชอบรูปแบบการแต่งภาพของช่างภาพไหม?  หรือชอบ Style  การถ่ายของช่างภาพไหม เพราะช่างภาพแต่ละคนก็มีรูปแบบการแต่งภาพหรือ Style  ที่แตกต่างกันออกไป จะเป็นแนวสีสดใส หรือแนวสีย้อนยุค เป็นต้น นะครับ
- ผลงานช่างภาพมีผลงานโดยรวมดูสวยงามไม่ใช่สวยอยู่ไม่กี่ใบหรือมีรูปโชว์อยู่เพียงสองสามใบ บ่าวสาวควรจะดูผลงานในภาพรวมด้วยมีผลงานให้ดูตัวอย่างจำนวนหลายงานและในงาน 1 งาน มีภาพโชว์ผลงานสวยถูกใจจำนวนมากพอ
- การถ่ายรูปของช่างภาพมีการถ่ายครบทุกมุมมองทั้งใกล้และระยะไกลมีการถ่ายเก็บรายละเอียด สิ่งต่างๆในงานที่เป็นความทรงจำของบ่าวสาวไว้  และมีการเก็บภาพญาติหรือเพื่อนๆของบ่าวสาวไว้ด้วยหรือไม่ ซึ่งแสดงถึงความตั้งใจในการถ่ายและความเป็นมืออาชีพของช่างภาพ ด้วยครับ

เทคนิคที่ 2 ราคาค่าบริการ : คงเป็นเรื่องที่บ่าวสาวคงจะต้องให้ความสำคัญไว้มากๆเช่นกันครับ เพราะแม้ว่าจะชอบผลงานขนาดไหนแต่ถ้าราคาสูงมากจนบ่าวสาวจ่ายไม่ไหว ลุงก็แนะนำว่าเลือกทีมที่บ่าวสาวจ่ายไหว ไม่มากไปและไม่น้อยจนเกินไปนะครับ แพงจนเกิดตัวลุงก็ไม่แนะนำนะครับ หรือถูกมากๆเลยรูปภาพที่ได้ออกมาอาจจะต้องเสียใจไปตลอด ซึ่งบ่าวสาวก็ลองสำรวจถามจากหลายๆทีมก็ได้ครับ




เทคนิคที่ 3 ประสบการณ์ของช่างภาพ: สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเลยนะครับสำหรับช่างภาพงานแต่ง ช่างภาพที่เก๋าประสบการณ์มากๆมีประสบการณ์สูงๆจะช่วยให้บ่าวสาวได้ภาพที่ดีในแต่ละโมเม้นของงานและสามารถควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปด้วยความราบเลื่อนอีกด้วย สำคัญมากเลยนะครับ ลุงเน้นเลย เพราะว่างานแต่งมันเป็นอะไรที่เลื่อนไหลภาพบางภาพผ่านแล้วผ่านเลย ไม่สามารถย้อนได้ โดยช่างภาพมือเก๋าๆจะรู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ตรงไหนเพื่อจะได้ภาพที่ดี และรู้ว่าจะต้องแนะนำบ่าวสาวอย่างไรจึงจะเหมาะสม
                ส่วนการที่บ่าวสาวจะพิจารณาว่าช่างภาพในทีมไหนประสบการณ์เป็นอย่างไร ก็คง จะต้องดูเอาจาก ผลงานส่วนหนึ่งนะครับว่าเคยถ่ายงานแต่งงานมาแล้วเยอะไหม และอีกเทคนิคสำคัญก็คงต้องสอบถามจากผู้ที่ใช้บริการมาแล้วไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือญาติ ว่าทีมทีมนั้นทำงานอย่างไร รวมทั้งให้สอบถามถึงนิสัยในการทำงานของช่างภาพด้วยนะครับว่านิสัยเป็นอย่างไร หรืออาจจะโทรพูดคุยสอบถาม เพื่อดูบุคลิกเป็นอย่างไร เป็นมิตรหรือ ป่าวคุยด้วยแล้วโอเคไหม ซึ่งก็สุดแท้แล้วแต่บ่าวสาวนั้นหละครับ



เทคนิคที่ 4 รายละเอียดงาน : อันนี้ผมของพูดรวมๆเลยนะครับ อันดับแรกก็การแต่งกายของช่างภาพว่าเหมาะสมแกกาลเทศะไหม อุปกรณ์เสริมในงาน ไม่ว่าจะเป็นไฟส่องสว่างหน้างานมีหรือไม่ จำนวนช่างภาพที่จะมาถ่าย อย่าต่ำไม่ควรต่ำกว่า 2 คน ต่องานนะครับ คือช่างภาพหลักกับช่างภาพที่ค่อยเก็ฐรายละเอียดหรือ ช่างภาพ  candid มีผู้ช่วยคอยถือไฟส่องบ่าวสาวเวลาเข้างานช่วงงานพิธีฉลองมงคลสมรสหรือไม่ อันนี้ต้องคุยกับช่างภาพให้เข้าใจกันก่อนนะครับ  หรือลุงแนะนำอีกวิธีก็คืออาจจะจ้างช่าง 2 ทีม คือมี ช่างหลักสำหรับมาถ่าย แล้วก็จ้างช่างภาพอีกซักคนมาคอยเก็บรายละเอียดก็เป็นวิธีที่ใช่ได้เลยนะครับ แต่ลุงเตือนก่อนว่าบ่าวสาวจะต้องบอกช่างภาพ ทั้งสองทีมให้ขาดก่อนนะครับว่าจะมีช่างภาพ 2 ทีม ทีมไหนเป็นทีมหลักทีมไหน Candid เพราะ ช่างภาพที่จ้างมาจะได้ไม่ทำงานทัพซ้อนและจะได้ทราบหน้าที่ของตนเองชัดเจน
เทคนิคที่ 5 รายละเอียดเกี่ยวกับการชำระเงิน : อันนี้ควรจะตกลงให้เสร็จก่อนจ้างนะครับ ว่ามีการชำระเงินกันอย่างไรเท่าไรเมื่อใด และมีการส่งงานกันอย่างไรเมื่อใด ซึ่งสุดท้ายนี้สำคัญเหมือนกันนะครับเพราะมีช่างภาพมีปัญหาบ่อยๆกับบ่าวสาวก็เรื่องแบบนี้บ่อยครั้งมาก


อย่าลืมกดติดตามเพจของลุงด้วย พร้อมกดแชร์บทความให้เพื่อน ๆ ด้วยนะครับ ลุงจะตั้งใจทำบทความดี ๆออกมาให้อ่านเรื่อยๆ ที่ https://www.facebook.com/qoogastudio





วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

4 STEP เลือกกล้องในดวงใจ


4 STEP เลือกกล้องในดวงใจ             ติดตามลุงได้ที่ https://www.facebook.com/qoogastudio/
มีงบจำกัดจะซื้อกล้องอะไรดี?

คำถามแบบนี้คงเจอกันทุกคนที่อยากจะหากล้องดีดีซักตัวไว้ถ่ายรูปเวลาไปเที่ยวหรือเอาไว้เก็บความทรงจำดีดี ใช่ไหมครับ ? วันนี้ลุงพร้อมมี 4 วิธีเด็ดๆไว้สำหรับเลือกกล้องในดวงใจ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า



                คำถามแรกเลยที่ลุงพร้อมแนะนำให้ถามตัวเองก่อนจะซื้อกล้องเลย ว่าคุณซื้อกล้องมาไว้ทำไมคุณมีข้อจำกัดในการใช้กล้องไหม แล้วกล้องประเภทไหนจะตอบโจทย์คุณได้  ซึ่งคำถามทั้งหมดมันจะมาลงเหลืออยู่ที่ว่าเอาหละคุณจะเลือกกล้อง DSLR หรือ กล้อง MIRRORLESS แหละ เพราะว่าทั้งสองประเภทเป็นกล้องที่ตอบโจทย์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่สุดแล้วเวลานี้ ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายรุ่น และที่สำคัญคุณภาพของมันดีกว่ากล้องมือถือในมือคุณอย่างแน่นอน

                คำถามต่อมาคงไม่พ้นที่ว่า แล้ว DSLR กับ MIRRORLESS มันต่างกันยังไง ลุงขออธิบายแบบง่ายแสนง่ายแบบนี้นะครับ ทั้งสองรุ่นมันก็คือกล้องเปลี่ยนเลนส์ได้ทั้งคู่แต่นั้นหละ แต่ DSLR คือกล้องที่มีกระจกสะท้อนภาพปิดเปิดภายในตัวก่อนที่จะรับภาพด้วยเซ็นเซอร์รับภาพ ส่วน MIRRORLESS ไม่มีกระจกทำให้คุณสมบัติที่สำคัญของกล้องทั้งสองประเภทต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือขนาดของกล้องและน้ำหนักของกล้องเพราะ DSLR ต้องมีกระจกสะท้อนภาพคอยเปิดปิดรับภาพจากแสงที่ผ่านเลนส์เข้ามา ทำให้จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับชุดม่านชัตเตอร์ที่มีกระจกคอยเปิดปิด แต่ MIRRORLESS นั้นเป็นเทคโนโลยีทีใหม่กว่าที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยนำกระจกออกและให้เซ็นเซอร์รับแสงที่ผ่านเข้ามาจากเลนส์โดยตรง

                ทำให้คุณสมบัติแรกเลยที่สำคัญที่ลุงจะให้คิดก่อนเลยว่า ถ้ากล้องที่คุณใช้จะมีขนาดใหญ่นั้น คุณรับได้ไหมและสะดวกไหมที่จะพกกล้องที่มีขนาดใหญ่ไปไหนมาไหน แต่แน่นอนความใหญ่ของมันนั้นก็ใช้ว่าจะไม่มีประโยชน์เพราะ DSLR นั้นผลิตและถูกพัฒนามาก่อน ทำให้ เป็นกล้องที่มีอุปกรณ์เสริมให้เลือกมากกว่าทั้งประเภทเลนส์ คุณสมบัติเลนส์ หรือแม้กระทั้งแฟลชนอก ก็มีให้ใช้งานหลากหลายรุ่น ทั้งราคาในภาพรวมถ้าเทียบปอนด์ต่อปอนด์ ลุงก็เชื่อว่าราคาค่อนข้างจะถูกกว่า ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะก้าวเข้าสู่วงการช่างภาพอาชีพก็คงหนีไม่พ้นDSLR หรอกชั่วโมงนี้แต่ถ้าคุณคิดว่าจะนำมาถ่ายเล่นๆขำๆไม่อยากแบกกล้องใหญ่ๆหนักๆ MIRRORLESS ก็หน้าจะเป็นคำตอบของคุณ และลุงขอคอนเฟิร์มว่า ถ้าพูดถึงคุณภาพของไฟล์ นั้น MIRRORLESS นั้นก็ทำได้ดีไม่แพ้ DSLR เลยเพราะ เซ็นเซอร์ที่ใช้ในกล้องทั้งสองประเภทนั้นมีการพัฒนาขึ้นมามากเรียกว่าใช้เซ็นเซอร์ประเภทเดียวกันแล้ว ทั้ง APS-C และ Full Fram

                และเรื่องสุดท้ายที่ลุงฝากไว้สำหรับข้อแตกต่างที่สำคัญอีกข้อคือ DSLR นั้น เวลาจะถ่ายรูปต้องมองผ่าน ช่องมองภาพเป็นหลักซึ่งเป็นภาพจริงๆที่เรามองผ่านเลนส์โดยอาศัยกระจกสะท้อนภาพ มันให้ความรู้สึกของการถ่ายรูปจริงๆ แต่ MIRRORLESS  นั้นเราต้องมองภาพจอ LCD หรือ ถ้าจะยกขึ้นมองผ่านช่องมองภาพก็เป็นเพียงภาพจาก LCD ในช่องมองภาพเท่านั้นไม่ใช่ภาพจริงๆดังนั้นมันจะมีความคลาดเคลื่อนหรือ การตอบสนองที่ ไม่เหมือนกัน ลุงว่าอรรถรสในการถ่ายภาพมันเสียไปจริงๆนะแต่อย่างว่าหละได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง


                เอาหละหากคุณตกลงปลงใจแล้วว่า DSLR คือ คำตอบของคุณ ลุงของแนะนำคุณแบบนี้ในฐานะที่ลุงก็ใช้กล้อง DSLR อยู่เป็นหลัก กล้อง DSLR นั้น ถูกแบ่งออกเป็นเซกเตอร์ต่างๆแล้ว จากผู้ผลิตทุกๆยี้ห้อ คือ 1 กล้องสำหรับผู้เริ่มต้น(Entry Level)  2 กล้องสำหรับระดับกึ่งมืออาชีพ (Semi-pro Level) และ 3 กล้องระดับมืออาชีพ(Pro Level) โดยทุกเซกเตอร์ใช้ คุณสมบัติของกล้องหลักๆเป็นตัวแบ่งและที่สำคัญ ใช้ราคาเป็นตัวแบ่ง ดังนั้น ลุงก็อยากจะบอกว่าคุณต้องถามตัวเองเสียก่อนว่ามีเงินเท่าไหร่ หรือยอมที่จะเสียเงินประมาณเท่าไหร่ในการซื้อกล้องดีดีซักตัว ซึ่งราคาก็มีตั้งแต่ หมื่นต้นๆไปจนถึงหลักแสน มันจะเป็นคำตอบให้คุณแล้วว่าคุณควรจะมีกล้องรุ่นไหนใช้ (ไม่รวมกล้องมือสอง)

                เคล็ดลับในการเลือกกล้องอีกอย่างสำหรับลุงเลยนะครับ ลุงขอแนะนำให้เลือกยี้ห้อก่อนเพราะ DSLR  นั้น ในแต่ละยี้ห้อจะมีคุณสมบัติของไฟล์ที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างกันและมีการใช้อุปกรณ์เสริมจำพวกเลนส์ที่แยกยี้ห้อใครยี้ห้อมัน ออกจากกันอย่างชัดเจน โดยในบ้านเรา DSLR  ที่เป็นเจ้าตลาดเลยมี อยู่ 2 ยี้ห้อ คือ NIKON กับ CANON   และ ตามมาห่างๆคือ SONY  (ซึ่งSONY ปัจจุบันจะไปเด่นในตลาด MIRRORLESS เสียมากกว่า) คงจากเป็นเรื่องที่ตอบยากมากหากจะถามว่า แล้ว ยี้ห้อไหนดีกว่ากันสำหรับสองค่ายนี้  ลุงคงไม่ตอบหละนะเพราะแต่ละยี้ห้อก็มีคุณสมบัติที่ดีในแต่หละด้านทั้งคู่(แต่บอกไว้ก่อนว่าลุงใช้ NIKON  นะ ) และก็คงพูดกันยาวมากสำหรับคำตอบนี้ เอาเป็นว่าลุงสรุปแบบความคิดลุงนะสิ่งที่แตกต่างสำคัญในเนื้อไฟล์ของกล้องสองค่ายนี้คือ WB หรือ สมดุลแสงขาวที่ CANON นั้นจะมี WB ที่ไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริงเท่าไหร่นัก มันจะออกนวลๆเหลืองๆกว่าทำให้ช่างภาพสายแฟชั่นจะนิยมใช้เพราะจะให้สกีนโทนที่ดูสวยงามกว่า (แต่ก็ไม่เสมอไปนะแล้วแต่ความสามารถช่างภาพด้วยนะครับ) แต่NIKON นั้น จะให้ WB ที่ สมจริงกว่า บางที่มันก็สมจริงไปจนบางคนไม่ชอบซึ่งเวลาเจ้าของยี้ห้อออกมาโปรโมทก็มักจะเป็นลักษณะที่ว่า ใช้NIKON จะออกไปทางท่องเที่ยวถ่ายรูปธรรมชาติ ทำนองนั้นซะส่วนใหญ่ ซึ่งมันก็มีเสน่ห์ของใครของมัน ลุงไม่ฟันธงนะ

                แต่ลุงให้เคล็ดลับส่งท้ายอีกเรื่องในฐานะที่ลุงถ่ายภาพและใช้อุปกรณ์มาเยอะ ลุงขอบอกเลยว่า ไฟล์ภาพในระดับมือสมัครเล่นถึงระดับกึ่งอาชีพนั้น ถ้าถ่ายในสภาพแสงที่ปกติ แทบจะไม่แตกต่างกันมากในแต่ละรุ่นแต่ คุณภาพของเลนส์นั้นจะเป็นตัวเป็นตัวตายที่จะแบ่ง คุณภาพของไฟล์ออกจากกันอย่างชัดเจน ดังนั้นเวลาเลือกกล้องต้องให้ความสำคัญกับเลนส์ให้ดีดี นะครับ


                ส่วนถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าจะเลือก MIRRORLESS เป็นกล้องคู่ใจแล้ว ผมขอบอกก่อนว่าต้องลำบากใจนิดนึงเพราะ MIRRORLESS เป็นกล้องที่มีความหลากหลายมาก ในปัจจุบันมีผู้ผลิดกล้องออกมา หลากหลายยี้ห้อ และหลากหลายรุ่นจนบางทีลุงก็มึนเหมือนกัน

                แต่หลักคิดที่สำคัญก่อนของลุงที่จะแนะนำก็คือ ควรจะตั้งงบคร่าวๆในใจเสียก่อนเพราะ เช่นกันราคาของกล้องก็มีให้เลือกหลายระดับ  ซึ่งแตกต่างกันออกไปตามคุณสมบัติของตัวกล้องและ คุณเลนส์ที่แถมมา โดยจะมีราคาตั้งแต่ หมื่นต้นๆ จนถึง หลักแสน

                เรื่องต่อมาที่ลุงอยากให้คุณพิจารณาก่อนก็คือ ขนาดของเซ็นเซอร์เพราะ MIRRORLESS มีความหลากหลายเป็นอย่างมากแต่ ขนาดของเซ็นเซอร์นั้นเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ ประสิทธิภาพหรือคุณภาพของเนื้อไฟล์มีความแตกต่างกัน พูดง่ายๆคือยิ่งเซ็นเซอร์ใหญ่ยิ่งดี โดยเรียงขนาดตามนี้  สำคัญคือคุณยังไม่ต้องไปพิจารณา  Pixel  ให้ดูประเภทของเซ็นเซอร์หรือขนาดของเซ็นเซอร์เป็นหลัก

Full Frame (36 MM)  > APS-C (24 MM)  > Four Thirds(4/3) (17 MM)   > 1 นิ้ว (13 MM) 

                ประการต่อมาคือ ออฟชั่น กล้องที่คุณคิดว่ามันจำเป็นสำหรับคุณ เช่นมีจอพับเอาไว้ เซลฟี่หรือไม่ มีwifi ไหม มีจอทัชสกรีน  มีวีดีโอละเอียดขนาดไหน ซึ่งสิ่งเล็กๆน้อยๆแบบนี้ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้คุณเลือกหรือไม่เลือกกล้องตัวนั้น โดยคุณจะต้องถามตัวเองก็ว่าอะไรที่คุณอยากได้และอะไรที่เฉยๆ เพราะในตลาดกล้องนั้นเกือบๆทุกรุ้นก็มีออฟชั่นพื้นฐานมาคล้ายๆกัน

                อีกประการที่สำคัญคือเรื่องรูปลักษณะภายนอกก็คงเป็นสิ่งที่สำคัญอีกประการที่คุณจะซื้อมันหรือไม่ โดยในตลาด MIRRORLESS บ้านเรานั้น ยี้ห้อที่ได้รับความนิยมและมีอุปกรณ์ให้เลือกมากหน่อยก็มี อยู่หลากหลายยี้ห้อ กว่า  DSLR มาก โดยเจ้าตลาดก็มี 1. Fuji  2. Olympus  3. Sony  4. Panasonic และตามมาห่างๆอย่าง Nikon Canon และ Samsung โดยส่วนตัวแล้วลุงอยากให้คุณมองหากล้องที่เป็นเจ้าตลาดมากกว่าเพราะลุงมีความคิดส่วนตัวว่า หากเราเลือกซื้อเจ้าตลาดนั้น โอกาสที่เราจะเลือกใช้ เลนส์และอุปกรณ์เสริม ก็มีช่องทางมากขึ้น รวมทั้งศูนย์การส่งซ่อมหรือแม้กระทั้งการซื้อขายในตลาดมือสองก็มีช่องทางที่หลากหลายกว่า (แต่ก็ต้องเข้าใจว่าลุงเป็นประเภทซื้อกล้องมาใช้งานไม่ได้เอามาชื่นชมก็อาจจะมีทัศนคติที่เน้นประโยชน์เป็นหลักนะครับ) แต่ถ้าจะถามจะจงไปเลยว่า MIRRORLESS ตัวไหนดี เดียวลุงจะมาทำบทความแยกให้ดูอีกที่นะครับ  รอดูในเพสลุงนี้หละ(https://www.facebook.com/qoogastudio)

                เรื่องสุดท้ายที่ลุงอยากฝากให้พิจารณาคือ เลนส์ที่ติดมากับกล้อง ว่าเป็นเลนส์ระยะไหนบ้าง รุ่น ที่แถม ดีไหม เอาจริงๆในความคิดลุง เลนส์ติดกล้องหรือ เลนส์ kit ที่ติดมาในเซกเตอร์เดียวกัน ลุงมีความเชื่อส่วนตัวว่ามันก็มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันนั้นหละครับแต่ ลุงให้ความรู้เพิ่มหน่อยว่า กล้อง ยี้ห้อ Olympus กับ Panasonic นั้นสามารถใช้เลนส์ร่วมกันได้นะครับ ใช้ร่วมกันได้คือหมายถึงใช้แล้วมัน ออโตโฟกัสให้ ส่วนยี้ห้ออื่นๆ ถ้าจะใช้ข้ามค่ายหรือเอาเลนส์ยี้ห้อแปลกๆมาใส่ ก็ใส่ได้ครับโดยต้องศึกษาเรื่อง เม้าของเลนส์แต่ละประเภท แต่มันจะไม่ออโต้โฟกัสนะครับหมายถึงคุณต้องโฟกัสด้วยมือตัวเอง ซึ่งก็สนุกไปอีกแบบ แถมเลนส์ พวกไม่ออโตยังมีราคาแสนถูกเมื่อเทียบกับเลนส์ค่ายเสียด้วย


                เมื่อผ่าน 3 step แล้วก็มาถึง step สุดท้าย ลุงอยากจะแนะนำให้คุณก่อนที่จะควักเงินซื้อกล้องใหม่ลองหันมาดูกล้องมือสอง กันได้นะครับ อย่างที่บอกไปลุงซื้อกล้องมาใช้งานแล้วลุงใช้หนักด้วยแต่ตั้งแต่ลุงใช้งานมา ลุงอยากจะบอกว่ากล้องและเลนส์เป็นอุปกรณ์ที่ทนทานมาก โดยเฉพาะเลนส์พังยากมากลุงจึงอยากให้คุณลองพิจารณาดูอุปกรณ์มือสองตามเว็บต่างๆที่ขายกันอยู่บนอินเตอร์เน็ทไว้เป็นทางเลือกเพื่อคุณจะมีเงินเหลือไว้ไปเที่ยวเพื่อจะได้ใช้กล้องตัวโปรดของคุณ
                แต่คงต้องทำใจหน่อยนะครับสำหรับขาที่ชอบความทันสมัยเพราะกล้องมือสองลุงแนะนำว่าควรจะซื้อรุ่นที่ต่ำกว่ารุ่นใหม่ 1 รุ่น คือหมายถึงในยี้ห้อเดียวกัน เซกเตอร์เดียวกัน ถ้าจะให้ราคาคุ้มค่ามากๆควรซื้อรุ่นเก่ากว่า เช่น อยากได้ Fuji XA-3 กำลังจะออก ก็ลองมองหา Fuji XA-2 ไหมละ เพราะลุงเคยบอกไปแล้วว่า ไฟล์ภาพนะในเซ็นเซอร์แบบเดียวกันในสภาพแสงปกติ แทบจะไม่แตกต่างกันเลย สิ่งที่ทำให้แตกต่างมากๆคือเลนส์ซึ่ง มีการผลิตรุ่นใหม่ๆออกมาช้ากว่า Body มาก แต่อย่าลืมนะฟั่งชั่นหรือออฟชั่นที่ได้มาตอบโจทย์หรือป่าว เพราะมันล่าสมัยกว่านะ

                โดยเคล็ดลับง่ายๆในแบบของลุงพร้อมสำหรับการเลือกดูอุปกรณ์มือสองนะครับ (อยากบอกว่ากระเป๋ากล้องลุงเกินครึ่งเป็นของมือสองนะ) ในเซ็กเตอร์ระดับล่าง Body ของกล้องจะไม่ได้มีความทนทานมากเหมือนระดับสูง ดังนั้นไม่ควรซื้อกล้องที่มีอายุเกิน 1-2 ปีอย่าให้เกิน 3 ปี โดยเช็คจากใบรับประกัน เพราะโอกาสได้ของไม่ดีสูง ควรจะซื้อกล้องทีใหม่หน่อยแต่ตกรุ่นจะทำให้พิจารณาง่าย ยิ่งเป็นกล้องค่ายเจ้าตลาดยิ่งมีให้เลือกมากมายเปรียบเทียบราคาได้ตามสบายในอินเตอร์เน็ท
                และเคล็ดลับอีกข้อเวลาจะดูกล้องหรือลักษณะการใช้งานของเจ้าของเดิมนั้น  นอกจากจะดูจากรูปลักษณ์สภาพการใช้งานแล้วให้ผู้ซื้อควรเช็ค จำนวน ซัตเตอร์ที่กดไปของ Body จากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้เช่นโปรแกรม Opanda IExif เป็นต้น และก็ต้องดูอีกด้วยว่ากล้องที่ซื้อนั้นใช้งานสำหรับถ่าย วีดีโอมาหรือป่าวเพราะกล้องบางรุ่นเช่น จำพวก Panasonic ซีรี่ย์ GH มักนิยมนำมาใช้ถ่ายวีดีโอ จึงมีจำนวนชัตเตอร์น้อยแต่อาจจะใช้งานมามากก็เป็นได้

                และเวลาจะซื้อลุงมักจะถามเจ้าของเขาตรงๆว่าขายทำไม เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เรารู้เหตุผลแม้เข้าจะโกหกเราก็ตามว่าอุปกรณ์ที่ซื้อขายกันนี้ มีปัญหาพิเศษหรือป่าวถึงขาย แต่เชื่อลุงเถอะ ถ้าคุณไม่ซวยจริงๆ กล้องนั้นพังยากจากการใช้งานในอายุ 2-3 ปี  แต่ถ้าคุณจะซื้อเลนส์นั้น นั้นลุงแนะนำว่าให้ ดูราคาเปรียบเทียบเป็นหลักและก็สภาพเลนส์ใช้งานได้ ไม่มีฝุ่นและรา จนเป็นปัญหากับภาพ  เพราะลุงบอกไปแล้วจากผู้ใช้งานจริงว่ามันพังยากแต่ถ้าคุณยังกังวลอยู่ ลุงแนะนำให้ซื้อ เลนส์ ฟิก หรือเลนส์ที่ซูมไม่ได้มาใช้เลย เพราะมันมีโอกาสเสียน้อยกว่าเลนส์ซูมมาก ถ้าคุณไม่ทำมันตกนะ

                ทั้งนี้ลุงยังไม่ได้อธิบายถึงอุปกรณ์ประกันร้านประกันศูนย์นะมันแตกต่างกันยังไง? ขอทำแยกแล้วกัน รออ่านบทความดีดีได้ใน Fanpage ของลุงเพิ่มได้นะ


อย่าลืมกดติดตามเพจของลุงด้วย พร้อมกดแชร์บทความให้เพื่อน ๆ ด้วยนะครับ ลุงจะตั้งใจทำบทความดี ๆออกมาให้อ่านเรื่อยๆ หรืออยากรู้เรื่องอะไร INBOX มาบอกลุงได้นะที่ https://www.facebook.com/qoogastudio